top of page
Writer's pictureUngkana Kerttongmee

Self-Determination Theory: การค้นหาความสุขผ่านแรงจูงใจภายในและการพัฒนาตนเอง

Updated: Oct 23

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันพบว่าการทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขเหมือนที่เคยเป็น ความเหนื่อยล้าและขาดแรงบันดาลใจสะสมขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทุกสิ่งที่ทำกลายเป็นเพียงหน้าที่ มากกว่าจะเป็นสิ่งที่ฉันอยากทำจากใจ แม้กระทั่ง the better you ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกิดจากความสนใจในจิตวิทยาและการช่วยเหลือผู้อื่น ก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกสนุกหรือตื่นเต้นเหมือนแต่ก่อน ฉันรู้สึกว่าเราเริ่มมองมันในเชิงธุรกิจและรายได้มากเกินไป จนสูญเสียจุดหมายที่แท้จริง

เมื่อชีวิตหมุนเวียนอยู่กับการเสพติดความสำเร็จภายนอก เช่น เงิน ชื่อเสียง และผลตอบแทน ฉันเริ่มรู้สึกหลงทางและต้องการกลับมาค้นหาคุณค่าในตัวเองอีกครั้ง โดยไม่ให้ความสำเร็จหรือผลประโยชน์ภายนอกมากลบแรงจูงใจภายใน ในช่วงเวลานั้น ฉันได้พบกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง นั่นคือ Self-Determination Theory (SDT) หรือทฤษฎีการกำหนดตนเอง






Self-Determination Theory (SDT)

ทฤษฎีการกำหนดตนเองพัฒนาโดยนักจิตวิทยา Edward Deci และ Richard Ryan ในปี 1980 ทฤษฎีนี้อธิบายว่าแรงจูงใจของมนุษย์แบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ แรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation) และ แรงจูงใจภายนอก (extrinsic motivation)

  1. แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) คือการทำสิ่งต่างๆ เพราะเราได้รับความสุขและความพึงพอใจจากตัวกิจกรรมเอง เช่น ความสนุก ความอยากรู้ และความต้องการพัฒนาตัวเอง แรงจูงใจภายในนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในระยะยาว เพราะเราเลือกที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความตั้งใจของตัวเอง

  2. แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) คือการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนภายนอก เช่น เงินรางวัล การยอมรับจากสังคม หรือชื่อเสียง การถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจภายนอกมากเกินไปอาจทำให้ความสุขที่มาจากการทำกิจกรรมนั้นลดลง และอาจทำให้เราไม่ได้โฟกัสที่กระบวนการ แต่กลับมุ่งเน้นเพียงเป้าหมายสุดท้ายแทน





ทฤษฎี SDT ระบุว่า มนุษย์จะมีแรงจูงใจในการทำงานและมีความสุขเมื่อสามารถตอบสนองสามปัจจัยหลักต่อไปนี้:

  • Autonomy (ความเป็นอิสระ): ความรู้สึกว่าตนเองได้เลือกทำสิ่งต่างๆ ด้วยความสมัครใจและควบคุมทิศทางชีวิตของตัวเอง

  • Competence (ความสามารถ): ความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรับมือกับความท้าทายได้ดี

  • Relatedness (ความเชื่อมโยง): ความรู้สึกว่าตนเองมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่ดีกับผู้อื่น และสิ่งที่ทำส่งผลดีต่อสังคมรอบตัว

Overjustification Effect: ผลของแรงจูงใจภายนอกที่มากเกินไป

สิ่งที่ฉันเริ่มตระหนักคือ ฉันถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจภายนอกมากเกินไป ซึ่งตรงกับแนวคิดในจิตวิทยาที่เรียกว่า Overjustification Effect หรือ “ผลจากการมีแรงจูงใจมากเกินไป” การวิจัยในด้านนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรามุ่งหวังผลตอบแทนภายนอก เช่น เงิน หรือชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้สามารถกลบแรงจูงใจภายในได้ ทำให้กิจกรรมที่เคยสร้างความพึงพอใจสูญเสียคุณค่าที่แท้จริงไป

งานวิจัยคลาสสิกโดย Lepper, Greene, & Nisbett (1973) เป็นการศึกษาที่มีชื่อเสียงในหัวข้อนี้ พวกเขาทำการทดลองกับเด็กที่ชอบวาดรูป เมื่อให้รางวัลทางวัตถุ เช่น สติ๊กเกอร์ เด็กๆ กลับรู้สึกมีความสุขน้อยลงในการวาดรูป แม้จะเคยชอบทำมันมาก่อนหน้านี้ นี่สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเราถูกผลักดันโดยแรงจูงใจภายนอก แรงจูงใจภายในหรือความสุขจากกระบวนการทำงานจะลดลงไป

การปรับแนวคิดและเป้าหมาย

เมื่อฉันได้ตระหนักถึงผลของการใช้แรงจูงใจภายนอกมากเกินไป ฉันจึงคิดจะปรับวิธีการดำเนินธุรกิจของ the better you ฉันต้องการเปลี่ยนโฟกัสจากการหาเงินและผลตอบแทนทางวัตถุ มาเป็นการแบ่งปันความรู้ด้านจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ฉันกลับมามีความสุขในสิ่งที่ทำได้ แต่ยังช่วยให้ผู้คนที่ได้เรียนรู้จากฉันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตเพื่อมีความสุขและเติบโตได้ด้วย

การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการเติบโต

การแบ่งปันความรู้นี้ยังทำให้ฉันได้พัฒนาทักษะทางจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารและการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้ฉันเชื่อมโยงกับคนอื่นที่มีปัญหาคล้ายคลึงกันได้ดียิ่งขึ้น การเติบโตในฐานะนักจิตวิทยาไม่ได้อยู่ที่ผลตอบแทนภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าในกระบวนการช่วยเหลือผู้คนให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเติมเต็ม

ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติและการมุ่งเน้นที่คุณค่าภายใน ฉันเชื่อว่าฉันจะกลับมามีความสุขในสิ่งที่ทำ และสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่



 

สนใจนัดหมายพูดคุยกับนักจิตวิทยาเพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต





219 views0 comments

Comentarios


bottom of page